งานที่ทำแล้วรู้สึกว่า.. รู้งี้! ตอนปิดเทอมม.ปลาย ไปทำงานPart-timeดีกว่า
- Praorawee Pojanapakorn
- Jan 19, 2022
- 2 min read
การตัดสินใจที่แปลกใหม่😬
ด้วยความที่ว่า ตั้งแต่เรียนมัธยม จนมหาลัยแล้วก็เออ หมกมุ่นอยู่แต่ในกิจกรรม วิธีการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อมสังคมรอบตัวเป็นแบบ คนกองถ่ายหนัง มาโดยตลอด 😓
ทีนี้พอหลังจากที่เรียนจบ กลับจากการผจญภัยในต่างแดน แล้วก็รับปริญญาเรียบร้อยแล้ว🤔 ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริงแล้วสินะเนี่ย ตอนนั้นสิ่งแรกที่วางแผนไว้คือ เราจะกลับไปวนลูปทำงานสายงานเดิมที่เราทำหรือเปล่า🤔 ตอนนั้นอายุ23 นะ เรายังมีเวลาเหลืออีกเยอะในการทดลองสิ่งใหม่ ๆ เลยตัดสินใจที่จะลองก้าวออกมาจาก Safe Zone!!! 😂😅
เรากำหนดโจทย์ก่อนว่า งานที่เราอยากจะทำนั่นคือ งานประจำ และต้องเป็นงานที่สามารถพัฒนาทักษะด้านการบริหาร หรือเป็นตำแหน่งที่สามารถมีการพัฒนาเติบโตไปได้ในอนาคต
ตอนนั้นเอง ตอนแรกงานที่สมัครไปแล้วได้สัมภาษณ์รวมถึงโทรมาติดต่อให้ไปทำงานด้วยนั่นก็คือ พนักงานร้านเสื้อผ้ายี่ปุ่นบนห้างโลโก้สีแดง แต่เราก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้อีกที่นึงแทนนั่นคือ ตำแหน่ง รองผู้ช่วยผู้จัดการโรงภาพยนตร์ เอส เอฟ ซินีม่า 🤗 หน้าที่หลักๆของตำแหน่งนี้นั่นก็คือ เป็นผู้ฝึกสอนและดูแลพนักงานที่ทำ Part-time (ไม่รู้ใครจะต้องดูแลใครกันแน่นะ) เพราะฉนั้นเราจะต้องรู้ทุกอย่าง ทุกตำแหน่ง ทุกแผนก ทุกหน้าที่ เพื่อที่จะได้เป็นแบบอย่างและสามารถฝึกสอนพนักงานได้อย่างถูกต้อง!
ก่อนที่จะเป็นผู้สอนคนอื่นได้ เราต้องเป็นผู้ถูกสอนก่อน

ตำแหน่งรองผู้ช่วยผู้จัดการ จะอยู่ในแผนกบริหาร (ผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ รองผู้ช่วยผู้จัดการ HR การตลาด) ซึ่งในการเริ่มทำงานในแผนกบริหาร เราจะต้องเทรนงานก่อน ก็คือการไปปลอมตัวเป็นพนักงาน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งจะได้เรียนรู้การทำงานในแต่ละแผนกว่าจะต้องทำอะไร อย่างไร มีระบบการทำงานอย่างไรบ้างนั่นเอง (เราต้องเรียนรู้ทุกแผนกให้ได้ภายใน 3 สัปดาห์!! 😱😱 ) ว่าแล้วก็ลุยกันเล้ยยย
ไปถึงวันแรกปุ๊บ ตอนแรกได้ใส่เป็นเสื้อเชิ้ตแบบที่เห็นในภาพนี้ แต่ปรากฎว่า ผู้จัดการของสาขาที่ไปเทรนงานนั้น (สาขาที่เราไปเทรนงานนั้นเป็นคนละสาขากับที่ที่เราจะไปประจำ เพราะลูกค้ามีเยอะกว่า เลยจะทำให้สามารถสอนงานได้ง่ายกว่า เคสเยอะกว่า) แกบอกว่า อยากให้เรามาอยู่ในฐานะพนักงานคนหนึ่ง ให้เหมือนกับพนักงาน Part-timeทั่วไปคนอื่น ก็เลยให้เราเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืด แบบที่น้อง ๆ คนอื่นเขาใส่กัน แล้วก็ห้ามแนะนำตัวด้วยว่าเป็นรองผู้ช่วยผู้จัดการ 5555 เอ้ออเอาก็เอา

แผนกแรกที่ฝึกนั่นคือฝั่งโรงภาพยนตร์ หรือที่ทุกคนเข้าใจก็จะคือ ฉีกตั๋ว เก็บโรงหนังนั่นแหละ ซึ่งก็ใช่ หน้าที่หลัก ๆ คือ ยืนรอฉีกตั๋วอยู่หน้าทางเข้าโซนโรงหนังนั่นแหละ คิดว่าง่าย งานสบายใช่มั้ย เคยเห็นภาพ ภูเขาน้ำแข็งป่ะ ที่ข้างบนเป็นชิ้นเล็ก ๆ แต่มีก้อนมหึมาใหญ่ยักษ์อีกข้างล่าง นั่นแหละ เหมือนกันเลย คือการทำแผนกนี้เนี่ย เราเน้นเวลา และความว่องไว และร่างกายที่แข็งแรงเป็นส่วนสำคัญ เพราะนอกจากจะคอยฉีกหางตั๋วแล้ว เมื่อหนังกำลังจะฉายจบ เราก็ยังต้องรีบวิ่งไปเพื่อเคลียร์โรง ตรวจสอบความเรียบร้อยต่าง ๆ เผื่อมีลูกค้าลืมของไว้เป็นต้น ซึ่งตรงนี้แหละ ต้องทำเวลา จริง ๆ มีแม่บ้านคอยช่วยเหลือนะ แต่ว่าบางทีมันไม่ทันไง ต้องช่วยกัน ยิ่งถ้าโรงไหนมีลูกค้าเยอะเนี่ย วิ่งวุ่นเลย เพราะช่วงแกปเวลาที่ว่างไว้ให้เครียโรงมันน้อยมาก ถ้าบางทีลูกค้าออกจากโรงก่อนเครดิตจบทั้งหมด ก็จะมีเวลาเก็บกวาดโรงเยอะขึ้น
คราวนี้ก็เข้าใจทั้งมุมมองของ ลูกค้าที่อยากนั่งดูเอนเครดิตจนจบ ก็เด็กภาพยนตร์อะน้อ นั่งดูเอนเครดิต VS พนักงานที่มายืนกดดัน55555
นอกจากนั้นแล้ว ในระหว่างที่มีการฉายหนัง เราก็ต้องคอยเข้าไปเช็คด้วยในเรื่องของ อุณหภูมิ และสภาพเหตุการณ์ทั่วไป จริง ๆ ชอบตอนที่ต้องไปเดินตรวจมาก บอกเลยว่า เมื่อยขาน้อยกว่ายืนอยู่เฉย ๆ 555555 เอาจริงคือ วันแรกยืนเกือบ 8 ชั่วโมงบนส้นสูง อย่างเดียว คือ เท้าแตก แสบไปหมด น่องปูดจาาาา ทนได้ไงน้อ
นอกจากหน้าที่ในช่วงที่มีคนเข้าดูหนังแล้ว ทุกวันที่หนังใหม่กำลังจะเข้า เราก็ต้องทำการเปลี่ยนโปสเตอร์ นู่นนี่นั่น สื่อโฆษณาต่าง ๆ พวก สแตนดี้ตั้ง ๆ ต่าง ๆ ก็คือยิบย่อยนะ ไม่ง่ายเลย ตำแหน่งงานแผนกนี้มักเน้นผู้ชายเพราะค่อนข้างใช้ความไว และความอดทนนิสนึง

ฝึกได้ไม่กี่วันเนี่ยแหละ ก็เปลี่ยนมาฝึกแผนกขายตั๋วจ้าาาา บอกเลยว่า หินสุด ยากสุด โหดสุด เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะจะต้องจำโปรโมชั่น 108 ทั้งหมดที่มีไงล่ะ!! 😅 แต่สิ่งที่ทำให้อึ้ง ทึ่งมาก ๆ นั่นก็คือการคิดระบบในการทำงาน คือว้าวมาก เช่น การที่พนักงานขายทุกคนจะมีเป้จิงโจ้เป็นของตัวเอง เบิกเงินสำหรับเป็นเงินทอนในแต่ละวัน เอาไว้ในจิงโจ้ และมีการ์ดไว้รูดซึ่งก็จะมีจำนวนเงินในนั้น ทั้งหมดนี้คือเพื่อบริการลูกค้าที่ไม่สามารถทำรายการได้ด้วยตัวเอง รวมถึงวิธีการเช็คยอดการใช้ส่วนลดโปรโมชั่น จำนวนที่ขายได้ ต่าง ๆ ทั้งหมด มีการคำนวนเป็นระบบอย่างลงตัวทุกอย่าง คือพอเราได้มาเห็นหลังบ้านแบบนี้แล้วทำให้อึ้งจริง ๆ นะว่าคนที่คิดระบบพวกนี้ขึ้นมาได้คือ โคตรเก่ง 55555 แต่เอาเถอะ สิ่งที่มาฝึกตำแหน่งนี้แล้วโดนเยอะสุดก็คือโดนลูกค้าเหวี่ยงวีน ฯลฯ และปัญหาร้อยแปดที่จะเข้ามาแบบไหนบ้างก็ไม่รู้ในแต่ละวัน อย่างเช่นลูกค้าจะใช้โปรโมชั่น ซึ่งมันหมดไปตั้งนานแล้ว และเราก็ไม่รู้ พออธิบายไม่ได้ ก็โดนลูกค้าโกรธเนี่ยแหละ แง แค่จำโปรโมชั่นในปัจจุบันก็ว่าเยอะแล้ว ต้องจำโปรโมชั่นในอดีตอีกด้วยหรอเนี้ย 😅😓

แผนกต่อมาคือขายขนม เย้ 😂 ดูท่าทางจะสนุกใช่มั้ยล่ะ ใช่!! สนุกจริงด้วย🥰 แต่คือ เป็นงานตัวเปียกมาก 5555555 คือภาพที่เราได้เห็นคือ ทำป๊อปคอร์น กดน้ำ แล้วก็จิ้ม ๆ เครื่องคิดเงินถูกมั้ย ใช่ ตอนแรกมันก็มีแค่นั้นแหละ แต่เบื้องลึกเบื้องหลังคือหน้าที่อันยิบย่อยนั่นเอง
ใครได้กะเช้า จะสบายหน่อย เพราะแค่เปิดร้าน นั่นคือการเซ็ทหน้าร้าน ให้พร้อม ตั้งขนม อบป๊อปคอร์นเตรียมไว้ให้สวยงาม ซึ่งไม่ยากหรอก แต่ต้องครบ แล้วในการอบป๊อปคอร์นเนี่ย มันมีสูตรด้วยนะ รสหวานต้องใส่อะไร รสเค็มต้องใช้อะไร ความร้อนแบบไหน หม้อฝั่งไหน กดปุ่มอะไร คือมันไม่ใช่จำง่าย ๆ นะ เนยก็ปริมาณไม่เท่ากันในแต่ละสูตรอีก จำอีกแล้วววววว แง้ เคยทำหม้อไหม้ครั้งนึงด้วย เหม็นไหม้ทั้งชั้นเลย 555555 แหะๆ ในส่วนของการกดคิดเลขนั้น ก็ค่อนข้างสนุก เพราะก็กดออเดอร์ตามที่ลูกค้าสั่ง แต่จะยากตรงที่ต้องเสนอโปรโมชั่นที่คุ้มกับลูกค้า รวมถึงถ้าลูกค้าจะใช้โปรโมชั่นอะไรต่าง ๆ ก็ต้องจำให้ได้เช่นกัน แต่ว่ายังโชคดีที่ยังน้อยกว่าของฝั่งขายตั๋วแหละน้อ ถ้าลูกค้าสั่งอะไร เราก็กดเข้าเครื่อง ไปตัก เตรียมของให้ ง่ายมาก แต่จะมีช่วงที่ลูกค้าเยอะมาก คือหนังดัง รอบหัวค่ำ ตอนนั้นคือลูกค้าต่อแถวคิวเยอะมากถึงมากที่สุดจนบางครั้ง ทีมบริหารต้องขึ้นมาช่วยกันทุกคน หัวหมุนมาก แต่สนุกนะ สนุกจริง
ถ้าถึงตอนที่ไม่สนุกก็น่าจะเป็นตอนที่เก็บร้าน 555 ใครกะกลางคืนเหนื่อยหน่อยนะ เพราะต้องล้างทุกอย่าง 555555 แล้วแต่ละชิ้นคือใหญ่มาก พวกแผงกั้นป๊อบคอร์นเงี้ย ใหญ่นะ นี่แบกเองคนเดียวไม่ไหวเลย ตอนกลางวันตัวเหม็นน้ำมัน ตอนกลางคืน เปียกน้ำอีก เผาผลาญดีม้าก

ในที่สุดก็เป็นรองผู้ช่วยผู้จัดการเต็มตัวแล้ว😱
จะดีใจหรือเสียใจเนี่ย555 แต่ตอนนั้นรู้สึกไม่พร้อมเลย เพราะยังไม่เต็ม100 กับแผนกไหนทั้งนั้น แบบ มันไม่มั่นใจอ่ะ 55555 😅😂
สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปนั่นคือยูนิฟอร์ม อัพเกรดคือใส่เชิ้ตและสูทสร้างควาภูมิฐานมากขึ้น555
ประสบการณ์สำหรับในตำแหน่งนี้คงขอสรุปไว้เลยว่า... ความรับผิดชอบมันเยอะมากจริง ๆ เพราะการที่เราต้องสอนพนักงานคนอื่นในการทำงานให้เป๊ะได้ มันก็ต้องเริ่มจากตัวเราที่ต้องเป๊ะก่อน แต่ปรากฎว่า เราเองก็ไม่มีอะไรที่มั่นใจเลย เอาจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยเรียน เต้ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองนะในเรื่องของการทำงาน แต่อันนี้คือ ไม่มั่นใจอะไรเลย สาเหตุเต้คิดว่า มันคงเป็นเพราะ
เมื่อเราไม่เห็นภาพรวมของทุก ๆ อย่าง เลยทำให้ทุกสถานการณ์ มันราวกับอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งเราเองก็มองไม่เห็นภาพรวมจนไม่รู้ว่า ในบางสถานการณ์ที่ตำแหน่งของเราต้องเป็นผู้ตัดสินใจหรือรับผิดชอบนั้น ขอบเขตของเรามันสามารถทำอะไรได้บ้าง
นั่นแหละ.. มันเลยเป็นจุดที่ทำให้เต้มองไม่เห็นว่า ตัวเองจะสามารถพัฒนาไปได้ในทางไหนบ้าง เหมือนกับว่าตัวเองตันแล้ว และนี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ
แต่สุดท้ายแล้ว ทุกเหตุการณ์ ทุกประสบการณ์ มันสนุก และเพิ่มความอดทน เพิ่มทักษะชีวิต การทำงาน การออกจากเซฟโซนของตัวเองได้เป็นอย่างดี

ถามว่า เราได้พัฒนาตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้มั้ย ตอบได้ไม่เต็มปาก แต่ว่าเราเติบโตขึ้นแน่นอน

ถึงแม้ไม่ถึงฝั่งฝันขนาดนั้น แต่ก็ภูมิใจที่อย่างน้อยเราก็ได้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ


รู้อย่างงี้นะ....
ตอนปิดเทอมม.ปลายครั้งนั้น เราน่าจะหางานทำ อย่างน้อย เราอาจเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ในการเป็นลูกน้องคนอื่นมาก่อน รู้จักการทำงานเป็นทีม รู้จักระบบการทำงานที่มันกว้างใหญ่ และอยู่ไกลตัวเรามากกว่านี้ ได้ฝึกให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักหาเงินได้ด้วยตัวเอง ตอนมาทำงานตำแหน่งที่เราต้องดูแลน้อง ๆ รู้สึกว่าเด็กพวกนี้เก่งมากเลยนะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากจะทำPart-time แหะ...
Comments